วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

การเรียนรู้ครั้งที่ 2 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม เวลา 08.30 น. - 12.30 น.

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ยินดีเคลื่อนไหว

ไหว้อาจารย์ที่รักและเคารพ <3



ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

แบ่งเป็น 2 กลุ่ม  คือ

1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง  

- เด็กปัญญาเลิศ ( Gifted  Child )   เป็นเด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา และมีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน

* เด็กปกติมี IQ 90 - 110  ถ้ามี IQ ต่ำกว่า 90 สมองจะช้า
Gifted ศัพท์เฉพาะ

ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ 
พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
* ไม่ใช้ภาษาเด็ก

ลักษณะของเด็กฉลาด

ชอบตอบคำถาม
สนใจเรื่องที่ครูสอน
ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน  เพราะจะรู้สึกเก่งและเป็นผู้นำ
ความจำดี  เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
เป็นผู้ฟังที่ดี และพอใจในผลงานของตน

ลักษณะของเด็ก Gifted

ชอบเป็นคนตั้งคำถาม 
เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
เบื่อง่าย เพราะจะเข้าใจได้ง่ายและไว  
ชอบเล่า 
ติเตียนผลงานของตน จะทำให้ดีเรื่อยๆ  


Kim Oun Yong  เด็กเกาหลี มี  IQ 210 สูงที่สุดในโลก
สามารถแก้โจทย์เลขยากๆได้
Akrit  Jaswal  เด็กอินเดียอายุ 7 ปี สามารถผ่าตัดได้
เรียนรู็จากการอ่านหนังสือ

Elaina  Smith เด็กอายุ 4 ปี จัดรายการวิทยุ ผู้ปรึกษาเรื่องปัญาชัีวิต

<3

ด.ช. ธนัช เปลี่ยวเทียนยิ่งหวี ศิลปินสีน้ำอายุ 5 ปี

2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง

เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
เด็กออทิสติก
เด็กพิการซ้อน

เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา เป็นเด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย 
เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน  (IQ ต่ำกว่า 90)   มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน

เด็กเรียนช้า
  -  สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  -  เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  -  ขาดทักษะในการเรียนรู้
  -  มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  -  มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 

สาเหตุของการเรียนช้า แบ่งเป็น ภายนอกและภายใน

ลักษณะภายนอก
-  เศรษฐกิจของครอบครัว สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู
-  การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-  สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-  การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-  วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ

ลักษณะภายใน 
- พัฒนาการช้า และการเจ็บป่วย

เด็กปัญญาอ่อน


- ระดับสติปัญญาต่ำ
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18

พฤติกรรมการปรับตน
-  การสื่อความหมาย
-  การดูแลตนเอง
-  การดำรงชีวิตภายในบ้าน
-  การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
-  การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
-  การควบคุมตนเอง
-  การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
-  การใช้เวลาว่าง
-  การทำงาน
-  การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น

เด็กปัญญาอ่อน  แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม

 1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
  - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น

2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34

-  ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย 
-  กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
* ฝึกทักษะการใช้ชีวิตแบบง่าย

3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49

  - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
  - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
  - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded) 

4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70

-  เรียนในระดับประถมศึกษาได้
-  สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
-  เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded) 

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา

-  ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
-  ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-  ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
-  ทำงานช้า
-  รุนแรง ไม่มีเหตุผล
-  อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-  ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome



สาเหตุ  

- ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
- ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)

ลักษณะอาการ

-  ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น
-  หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
-  ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
-  ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
-  เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
-  ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
-  มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
-  เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ 



-  ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
-  มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
-  บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
-  อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
-  มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
-  อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง

การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์

-  การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
-  อัลตราซาวด์  
-  การตัดชิ้นเนื้อรก
-  การเจาะน้ำคร่ำ  

2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) 

เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน
-  มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก 

เด็กหูตึง  เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง 
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม

1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ 
เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ  *ได้ยิน 1-2 dB
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดัง
ในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ 
มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคพูด 
เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน 
มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ  พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
 4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง
และการเข้าใจคำพูดอย่างมาก ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต การพูดคุยด้วยต้องตะโกน
หรือใช้เครื่องขยายเสียง เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ 
บางคนไม่พูด

เด็กหูหนวก เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการ
ได้ยินเครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้  ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้  
ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

80 dB ขึ้นไปอันตราย

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-  ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
-  ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
-  พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
-  พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
-  พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
-  เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
-  รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
-  มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น  (Children with Visual Impairments) 

- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
* เด็กสายตาสั้นและสายตายาว

จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท

เด็กตาบอด
-  เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง  ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้ 
มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 
(ระดับการมองเห็นคนตาบอด / ระดับการมองเห็นตาปกติ) ลงมาจนถึงบอดสนิท 
 มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา 
* ลานสายตาคนปกติประมาณ 160-170 องศา

เด็กตาบอดไม่สนิท 
-  เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ เมื่อทดสอบสายตาข้างดี
จะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุด
กว้างไม่เกิน 30 องศา 

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น 

-  เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
-  มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
-  มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-  ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
-  เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
-  ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
-  มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้


-  สามารถนำความรู้เรื่องประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษไปใช้สังเกตลักษณะของเด็กได้ เพื่อให้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนตรงกับความเหมาะสมและถูกต้องสำหรับเด็ก

การประเมินผล


ประเมินอาจารย์

-  อาจารย์เข้ามาสอนตรงเวลา  และอธิบายความรู้รายวิชาได้ชัดเจน  มีการยกตัวอย่างในแต่ละเรื่องทำให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น  ซึ่งอาจารย์จะนำความรู้เพิ่มเติมมาสอนอยู่เสมอ  ระหว่างเรียนอาจารย์คอยให้คำแนะนำของนักศึกษา  และรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา

ประเมินตนเอง

- ตั้งใจฟังและทำกิจกรรมต่างๆ จดบันทึกระหว่างเรียน ร่วมแสดงความคิดเห็นเมื่อครูมีคำถาม ตอบคำถามได้ และเข้าใจเนื้อหาความรู้ได้ดีค่ะ

ประเมินเพื่อน

- เพื่อนๆตั้งใจฟังและให้ความร่วมมือในการเรียน  สนใจการเรียนและบันทึกเมื่ออาจารย์สอน อาจมีคุยกันบ้างเพราะเป็นช่วงแรกๆค่ะ  แสดงความคิดเห็นและรับฟังกันและกัน   และสนุกสนานในการเรียนการสอน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้นเคลื่อนไหว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น