ไหว้อาจารย์ที่รักและเคารพ <3
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
- เด็กปัญญาเลิศ ( Gifted Child ) เป็นเด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา และมีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน
* เด็กปกติมี IQ 90 - 110 ถ้ามี IQ ต่ำกว่า 90 สมองจะช้า
* Gifted ศัพท์เฉพาะ
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
- พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
- เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
- อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
- มีเหตุผลในการแก้ปัญหา
การใช้สามัญสำนึก
- จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
- มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
- มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
- เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
- มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
- ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
* ไม่ใช้ภาษาเด็ก
ลักษณะของเด็กฉลาด
- ชอบตอบคำถาม
- สนใจเรื่องที่ครูสอน
- ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน เพราะจะรู้สึกเก่งและเป็นผู้นำ
- ความจำดี เรียนรู้ง่ายและเร็ว
- เป็นผู้ฟังที่ดี และพอใจในผลงานของตน
ลักษณะของเด็ก Gifted
- ชอบเป็นคนตั้งคำถาม
- เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
- ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
- อยากรู้อยากเห็น
ชอบคาดคะเน
- เบื่อง่าย เพราะจะเข้าใจได้ง่ายและไว
- ชอบเล่า
- ติเตียนผลงานของตน จะทำให้ดีเรื่อยๆ
![]() |
Kim Oun Yong เด็กเกาหลี มี IQ 210 สูงที่สุดในโลก สามารถแก้โจทย์เลขยากๆได้ |
![]() |
Akrit Jaswal เด็กอินเดียอายุ 7 ปี สามารถผ่าตัดได้ เรียนรู็จากการอ่านหนังสือ |
![]() |
Elaina Smith เด็กอายุ 4 ปี จัดรายการวิทยุ ผู้ปรึกษาเรื่องปัญาชัีวิต |
![]() |
<3 |
![]() |
ด.ช. ธนัช เปลี่ยวเทียนยิ่งหวี ศิลปินสีน้ำอายุ 5 ปี |
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
- เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
- เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
- เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
- เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
- เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
- เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
- เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
- เด็กออทิสติก
- เด็กพิการซ้อน
เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา เป็นเด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน (IQ ต่ำกว่า 90) มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า
และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า แบ่งเป็น ภายนอกและภายใน
ลักษณะภายนอก
- เศรษฐกิจของครอบครัว สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู
- การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
- สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
- การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
- วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ลักษณะภายใน
- พัฒนาการช้า และการเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18
พฤติกรรมการปรับตน
- การสื่อความหมาย
- การดูแลตนเอง
- การดำรงชีวิตภายในบ้าน
- การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
- การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
- การควบคุมตนเอง
- การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
- การใช้เวลาว่าง
- การทำงาน
- การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
เด็กปัญญาอ่อน แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4
กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า
20
-
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
- ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย
- กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า
C.M.R
(Custodial Mental Retardation)
* ฝึกทักษะการใช้ชีวิตแบบง่าย
* ฝึกทักษะการใช้ชีวิตแบบง่าย
3.
เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย
ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ
หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable
Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย
IQ 50-70
- เรียนในระดับประถมศึกษาได้
- สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย
ๆ ได้
- เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable
Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูด
หรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิด และอารมณ์
เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม
Down Syndrome
สาเหตุ
- ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่
21
- ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่
21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
ลักษณะอาการ
- ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
- หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
- ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
- ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ
รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
- เพดานปากโค้งนูน
ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
- ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
- มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
- เส้นลายมือตัดขวาง
นิ้วก้อยโค้งงอ
- ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1
และ 2 กว้าง
- มีความผิดปกติในระบบต่างๆ
ของร่างกาย
- บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย
ร่าเริง เป็นมิตร
- มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
- อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
- การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
- อัลตราซาวด์
- การตัดชิ้นเนื้อรก
- การเจาะน้ำคร่ำ
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ
ได้ไม่ชัดเจน
- มี 2 ประเภท
คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ
เช่น
เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ *ได้ยิน 1-2 dB
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดัง
ในระดับปกติในระยะห่าง
3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด
จับใจความไม่ได้
มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด
ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.
เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง
และการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
การพูดคุยด้วยต้องตะโกน
หรือใช้เครื่องขยายเสียง เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ
บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการ
ได้ยินเครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้ ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91
dB ขึ้นไป
![]() |
80 dB ขึ้นไปอันตราย |
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด
เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
- ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual
Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10
ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน
30 องศา
* เด็กสายตาสั้นและสายตายาว
จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย
หรือมองเห็นบ้าง ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ
6/60 , 20/200
(ระดับการมองเห็นคนตาบอด / ระดับการมองเห็นตาปกติ) ลงมาจนถึงบอดสนิท
มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า
5 องศา
* ลานสายตาคนปกติประมาณ 160-170 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
เมื่อทดสอบสายตาข้างดี
จะอยู่ในระดับ
6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุด
กว้างไม่เกิน
30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
- เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- สามารถนำความรู้เรื่องประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษไปใช้สังเกตลักษณะของเด็กได้ เพื่อให้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนตรงกับความเหมาะสมและถูกต้องสำหรับเด็ก
การประเมินผล
ประเมินอาจารย์
- อาจารย์เข้ามาสอนตรงเวลา และอธิบายความรู้รายวิชาได้ชัดเจน มีการยกตัวอย่างในแต่ละเรื่องทำให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งอาจารย์จะนำความรู้เพิ่มเติมมาสอนอยู่เสมอ ระหว่างเรียนอาจารย์คอยให้คำแนะนำของนักศึกษา และรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา
ประเมินตนเอง
- ตั้งใจฟังและทำกิจกรรมต่างๆ จดบันทึกระหว่างเรียน ร่วมแสดงความคิดเห็นเมื่อครูมีคำถาม ตอบคำถามได้ และเข้าใจเนื้อหาความรู้ได้ดีค่ะ
ประเมินเพื่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น